แนวทางการพัฒนาทักษะการค้นคว้า
และศึกษาด้วยตนเองเพื่อรองรับ AEC : 2558
(Skill
Development of Independent Study for AEC)

การพัฒนาทางการศึกษาของไทยในศตวรรษที่
21 กำลังเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังและท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการพัฒนาดังกล่าวเป็นการรองรับการแข่งขันอย่างเสรีที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มประชาคมอาเซียนในปี
2558 ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่มอาเซียนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และรวมถึงการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับประเทศกลุ่มอื่นๆ
ของโลก เช่น กลุ่มประเทศ GCC เป็นกลุ่มค่อนข้างใหม่
เป็นการรวมตัวของประเทศกลุ่มอาหรับเข้าด้วยกัน
จะเห็นได้ว่าการรวมกลุ่มของประเทศดังกล่าวจะเป็นผลดีของประเทศในกลุ่ม AEC เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูงมากและที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่มหาศาลคือ
น้ำมัน เป็นกลุ่มที่ประชาชนบริโภคอาหารฮาลาล
ซึ่งจะเป็นแหล่งตลาดที่ใหญ่และสำคัญยิ่งของไทยเราและกลุ่มประเทศใน AEC
การเตรียมความพร้อมที่สำคัญที่สุดแขนงหนึ่งคือ
การพัฒนาคนของเราให้พร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ
ด้านของกลุ่มประเทศดังกล่าวข้างต้น คือการพัฒนาทักษะการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent
Study Skill) ทั้งนี้เพื่อสร้างคนไทยรุ่นใหม่
สร้างคุณภาพทางด้านการเรียนการสอนและผลสัมฤทธิ์เทียบเคียงมาตรฐานสากล
ยกระดับโรงเรียนของไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล (World Class Standard School) ซึ่งโรงเรียนแต่ละโรงในประเทศไทยที่มีความพร้อมก็ควรยึดหลักกว้างๆ ดังนี้
1. หลักการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักหาประเด็นมาตั้งคำถาม
ตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis Formulation)
2. หลักการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักสืบค้นเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
ที่หลากหลาย เช่น จากห้องสมุด ห้องอินเตอร์เน็ต หรือจากการทดลองต่างๆ (Searching
for Information)
3. หลักการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักสรุปเนื้อหาและองค์ความรู้ที่ได้มาจากการฟัง
การอภิปราย การทดลอง มาคิดวิเคราะห์
พร้อมมีเทคนิคในการนำเนื้อหามาสรุปเป็นองค์ความรู้ ความสามารถ
ถ่ายทอดให้คนอื่นได้อย่างเชี่ยวชาญ (Knowledge Formation)
4. หลักการฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะในการสื่อสาร
ในการนำเสนอองค์ความรู้ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ (Effective
Communication) ซึ่งการสื่อสารผู้เรียนสามารถสื่อสารได้หลายภาษาหลายช่องทาง
5. หลักการฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะ
รู้จักให้บริการสังคมและมีจิตสาธารณะ (Public Service) หลักการนี้เป็นวิธีการนำความรู้สู่การปฏิบัติ
แต่ผู้เรียนจะต้องมีความรู้รอบตัว รอบโลก
และนำความรู้ให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์
หลักการ 5 ด้านข้างต้น
เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาความพร้อมของผู้เรียน
ผู้เขียนใคร่ขอเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ
ควรกำหนดให้ทักษะนี้เป็นทักษะบังคับและควรบรรจุไว้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเหมือนกิจกรรมลูกเสือ
เนตรนารี หรือยุวกาชาด
เหตุผลที่ผู้เรียนไม่เห็นด้วยที่มีแนวคิดให้วิชาการค้นคว้าด้วยตนเองเป็นอีกหนึ่งวิชาให้ผู้เรียน
ผู้เขียนเห็นว่าปัจจุบันเด็กไทยก็มีชั่วโมงเรียนมากระดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว
และมีวิชาที่เรียนในหลักสูตรเป็นจำนวนมากเช่นกัน
การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของคนไทยยังขาดการพัฒนาและส่งเสริม ดังที่ อ.วรากรณ์
สามโกเศศ อดีต รมช.กระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวไว้ว่า
ปัญหาการศึกษาของคนไทยคิดไม่เป็น ขาดความมุ่งมั่น อดทน ขาดหลักคิด สังคมไทยอ่อนแอ
ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือคุณมีชัย วีระไวทยะ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
กล่าวว่า ระบบการศึกษาไทยเราสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้
ขาดการส่งเสริมให้คิดและเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มุ่งเน้นด้านคุณธรรมจริยธรรม
ฝึกให้คนไทยเป็นลูกน้อง เป็นผู้ตาม รอรับคำสั่ง
โรงเรียนไม่มีสื่ออุปกรณ์ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดและการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งๆ
ที่ประเทศไทยเต็มไปด้วยนักบริหาร นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ
แต่ขาดคุณภาพและคุณธรรม การทุจริตคอร์รัปชั่นมีเกือบทุกองค์กร
ปัญหาดังกล่าว
ผู้เขียนเชื่อว่าเกิดจากรากฐานที่ล้มเหลวทางการศึกษาที่ไม่สามารถสร้างให้คนไทยเข้มแข็ง
มีคุณภาพและคุณธรรมนั่นเอง
ฉะนั้น แนวทางหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่า
ถ้าผู้รับผิดชอบด้านการศึกษาของไทยเอาจริงเอาจัง โดยการนำกระบวนการการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมาใช้อย่างเข้มแข็งจริงจัง
โดยพัฒนาผู้เรียน 3 ทักษะ ดังนี้
1. ทักษะการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
(Research
and Knowledge Formation Skill) เป็นทักษะที่ต้องการให้ผู้เรียนรู้จักกำหนดประเด็นของปัญหา
รู้จักตั้งสมมุติฐาน รู้จักเทคนิคการค้นคว้า รู้จักเทคนิคการแสวงหาความรู้
มีเทคนิคการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้
ถ้าให้ผู้เรียนมีทักษะด้านนี้ที่สมบูรณ์ควรเพิ่มทักษะStepladder Technique เป็นวิธีการที่ให้ผู้เรียนร่วมกับสมาชิกมีส่วนร่วมในการคิด การทำงาน
คิดวางแผนสร้างองค์ความรู้ ซึ่ง Stepladder มี 5 ขั้นตอน
ขั้นที่
1 ก่อนทำงานให้ผู้เรียนวางแผน
ขั้นที่ 2
ผู้เรียนนำปัญหาหรือองค์ความรู้มาวิเคราะห์
ขั้นที่ 3
ผู้เรียนนำองค์ความรู้จากการค้นคว้ามาสร้างทางเลือกในการนำไปใช้
ขั้นที่ 4
ผู้เรียนนำข้อมูลมาสังเคราะห์และสร้างองค์ความรู้ใหม่
ขั้นที่ 5 ผู้เรียนนำข้อมูลมาประมวล
แล้วตัดสินใจขั้นสุดท้าย นำไปใช้
จะเห็นได้ว่าเทคนิค Stepladder
เป็นเทคนิคที่ผู้เรียนหรือครูผู้สอนสามารถนำมาใช้สอนหรือแนะนำผู้เรียนนำไปใช้จัดการเรียนรู้
หรือจัดการในการวางแผนการทำงานได้ และโดยเฉพาะหลังจากปี 2558 ประชาคมอาเซียนก็จะขับเคลื่อนเต็มรูปแบบ
ฉะนั้นถ้าเยาวชนไทยเราสามารถนำวิธีการเรียนรู้และค้นคว้าคำตอบเองออกมาใช้เต็มศักยภาพ
เชื่อว่าคุณภาพของคนไทยเราคงจะดีขึ้นในเชิงคุณภาพทุกๆ ด้าน
พร้อมที่จะแข่งขันในเวทีโลก และถ้าสามารถนำเทคนิค Stepladder มาต่อยอด เสริมทักษะ การค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ให้ผู้เรียนก็ยังเสริมคุณภาพผู้เรียนให้มีคุณภาพได้อีกทางเช่นกัน
2. ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ
(Communication
and Presentation) เป็นทักษะที่มุ่งให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้รับมาวางแผน
ใช้วิธีการและเทคนิคในการถ่ายทอดวิธีการสื่อความหมาย แนวคิดใหม่ๆ
นำข้อมูลและองค์ความรู้ใหม่ๆ เสนอด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่หลากหลายและรัดกุม
ทักษะนี้ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำแนวคิดจากทักษะ
R.K.F.S.
มาเขียนเป็นเอกสารทางวิชาการ และนำเสนอถ่ายทอดข้อมูล
สามารถนำทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ (Conrtructionism) มาสอนให้ผู้เรียนนำมาใช้บูรณาการกับทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ
ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ให้ผู้เรียนสร้างชิ้นงานจากการทำโครงการ (Project Based
Learning) อีกประเด็นที่สำคัญยิ่งของทักษะนี้คือ
ถ้าผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้
ก็สามารถทำให้เยาวชนของไทยมีคุณภาพพอที่จะเข้าแข่งขันหรือสามารถนำไปใช้ในประชาคมอาเซียนได้หลังจากปี
2558 ซึ่งผู้สอนหรือผู้เรียนจะต้องมีทักษะการสื่อสารและการนำเสนอพื้นฐานเบื้องต้น
ดังนี้
1.1
ควรรู้ว่าเราจะสื่อสารในสถานการณ์ใด เวลาใด งานอะไร
1.2 ควรรู้ว่าเราควรสื่อสารสถานที่ใด
1.3 ควรรู้ว่าเราสื่อสารกับใคร
สถานะของผู้ฟังเป็นอย่างไร
1.4 ควรรู้ว่าเราสื่อสารในกรอบของสังคม
ศาสนา และวัฒนธรรมใด จึงจะเหมาะสม
1.5
ควรรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารอย่างไร
การสื่อสารและการนำเสนอเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
นอกจากผู้เรียนมีความสามารถทางภาษาแล้วก็ตาม แต่ผู้เรียนจะต้องเข้าใจบริบทอื่นๆ
เพราะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Meterial) การแลกเปลี่ยนทางอารมณ์
(Emotion) และการสร้างความสัมพันธ์ (Relation) และสุดท้ายผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดจะต้องประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ
ดังนี้
1. เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี
รวมถึงพฤติกรรมที่แสดงออกที่ดีและเหมาะสม
2. มีความมุ่งมั่น คล่องแคล่วมั่นใจ
3. แสดงออกถึงความตั้งใจและให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน
4. มีสื่อและเทคโนโลยีช่วยเสริมกิจกรรมต่างๆ
ได้อย่างกลมกลืนและสอดคล้องกับความเป็นจริง
5. มีความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาอย่างชัดเจนและแม่นยำ
6. มีจิตวิทยาที่เสริมสร้างแรงจูงใจและเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน
7. มีจิตวิทยาในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสมาชิกได้
โดยมุ่งให้เกิดความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Understanding)
ความถนัดหรือทักษะ (Skill) และมีทัศนคติและจริยธรรมเชิงบวกเสมอ
(Habit) ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ
ผู้เขียนคิดว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษาของไทย
ควรนำมาใช้ในโรงเรียนอย่างจริงจัง
3. ทักษะการนำองค์ความรู้ไปใช้บริการทางสังคม
(Social
Service Activity Skill) หรือการสร้างบริการสาธารณะ ( Public
Service) โดยผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงปฏิบัติสู่สังคมให้มากที่สุด
แต่ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่า ก่อนที่จะนำความรู้สู่สังคมได้นั้น
ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถเบื้องต้น ดังนี้
1. ต้องสร้างวินัยในตนเอง
ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย รู้ขอบเขตของหน้าที่และ
สิทธิเสรีภาพ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
2. ต้องตระหนักเสมอว่าตนเองคือส่วนหนึ่งทางสังคม
รับผิดชอบต่อส่วนรวมต่อประเทศชาติและโลก
3. ต้องเป็นผู้ที่ตระหนักถึงปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและต้องช่วยแก้ไข
4. ต้องยึดหลักธรรมในการทำเป็นชีวิต
และพร้อมที่จะถ่ายทอดหลักธรรมที่ดีสู่สังคม
ทักษะนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งเช่นกัน
เพราะเป็นทักษะที่ผู้เรียนต้องนำไปใช้ต่อสังคม ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนในปัจจุบัน ไม่ใช่ให้ผู้เรียนมีความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว
(Academic
Knowledge) แต่ควรให้ผู้เรียนนำประสบการณ์เรียนรู้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
คือมีจิตใจที่สูงส่ง มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โลก เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
ในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรป
ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดจิตสำนึกในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม
ผ่านกระบวนการเรียนรู้และการสอนที่เรียกว่า การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม (Service-Learning)
ซึ่งมีผู้ให้ความหมายไว้ว่า
เป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการให้บริการแก่สาธารณะ
ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของชุมชน (Taylor และ
Ballengee-Morris, 2004)
จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมนั้น
เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนและสังคม
กล่าวคือ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถในเชิงวิชาการ
อารมณ์ และสังคมควบคู่กันไปด้วย
ขณะที่ชุมชนหรือสังคมก็จะได้รับประโยชน์จากการที่ผู้เรียนเข้าไปให้บริการในลักษณะต่างๆ
โดยเฉพาะกิจกรรมอาสาสมัคร (Volunteer) ซึ่งในกลุ่มประเทศดังกล่าวจัดกิจกรรมอาสาสมัครหรือการให้บริการต่อสังคมโดยไม่รับค่าตอบแทนนั้น
ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเสริมเท่านั้น
แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรในรูปแบบที่เป็นวิชาการเลือกด้วย
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า
ในปี ค.ศ.1999 มีโรงเรียนของรัฐกว่า 83% ที่มีนักเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้บริการชุมชน
และในปี ค.ศ.2005
สำรวจพบว่าโดยส่วนใหญ่นักเรียนมักปฏิบัติกิจกรรมเพื่อสังคมในรายวิชาสังคมศึกษา
(12%) วิทยาศาสตร์ (10%) และภาษาอังกฤษ (7%) (the National Center
For Education Statistics, 2010)
ประเด็นสำคัญที่นักการศึกษาของไทยต้องนำไปขบคิดคือ
หลักสูตรสถานศึกษาของประเทศได้นำแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมมาเป็นฐานในการออกแบบหลักสูตรแล้วหรือยัง
และหากทำแล้วอยู่ระดับใด (ข้อมูลเฉลิมลาภ ทองอาจ การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม)
ที่จริงแล้วแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ในการศึกษาของไทยแต่เดิมได้ปฏิบัติกันมา
เราคงจะเคยทราบว่า ครูพระสงฆ์สมัยโบราณสอนให้ศิษย์มีความรู้และทักษะวิชาช่าง
ด้วยการพาศิษย์ไปซ่อมแซมหรือสร้างศาสนสถาน แม่บ้านแม่เรือนสมัยก่อนทำกับข้าวได้หลายชนิด
เพราะไปเรียนรู้วิธีการประกอบอาหารจากแม่ครัวใหญ่ในงานวัดหรืองานบุญต่างๆ
แพทย์แผนไทยเรียนรู้กรรมวิธีรักษาโรค
ก็ด้วยการตามครูแพทย์ไปให้บริการแก่ชาวบ้านในหลายๆ แห่ง
โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนการเรียนรู้สมัยก่อนจึงไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อประโยชน์เฉพาะตน
แต่เป็นการเรียนรู้ที่สังคมจะได้รับประโยชน์จากการเรียนของเราด้วย
การศึกษาในยุคก่อนจึงไม่เคยทิ้งสังคมไปเช่นในปัจจุบัน
ดังที่เรามักจะได้ยินคำถามทั้งจากครูและผู้เรียนของเราเสมอว่า
"เรียนแล้วจะนำไปทำอะไรก็ไม่รู้"
"เรียนแล้วไม่เห็นว่าสังคมจะได้รับประโยชน์อะไร"
และในที่สุดเราก็สรุปได้ว่า
"ถ้าเช่นนั้นก็เรียนให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาช่วยสังคม"
คำถามที่เราต้องคิดต่อก็คือ
ก็แล้วเหตุใดเราไม่ทำให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นเรื่องที่สังคมได้ประโยชน์ทุกขณะ
และเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ต้องสอน แต่เกิดจากการที่ผู้เรียน "เห็นปัญหา"
และ "เกิดเมตตา" ที่จะช่วยผู้ที่มีใจเมตตาให้
แม้แต่คนที่อาจจะไม่รู้จักเช่นนี้
จะไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์หรือผู้เรียนที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจากการศึกษาหรอกหรือ
สถานศึกษาหลายแห่งสรุปไปว่า
การเรียนการสอนแบบโครงการ (Project Learning) เป็นวิธีการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม
ข้อสรุปดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะมิติของการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม
ไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรมสร้างความรู้ตามความสนใจของผู้เรียนเท่านั้น
เพราะสิ่งที่ผู้เรียนสนใจอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือช่วยให้ปัญหาสังคมหรือชุมชนของเขาคลี่คลายไปก็เป็นได้
เราอาจจะเคยเห็นนักเรียนทำโครงงานประดิษฐ์หุ่นยนต์
ในขณะที่ชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่มีปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากอุตสาหกรรม
การให้บริการต่อสังคมจึงต้องมองปัญหาใกล้ตัว
หรือเป็นเรื่องที่สังคมเรียกร้องขอความช่วยเหลือก่อนเป็นหลัก
ดังนั้น
กิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีนี้อาจอยู่ในรูปแบบอื่น นอกจากโครงงาน เช่น
การเป็นอาสาสมัครในองค์กรศาสนา องค์กรเยาวชนหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
หรือการฝึกงานในหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่ให้บริการต่อสาธารณะ เป็นสาธารณะ
เป็นต้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเราจึงมีเยาวชนวัยรุ่นชาวต่างประเทศเข้ามาทำงานอาสาสมัครพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นทุรกันดาร
ดังเช่นเคยปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา องค์มกุฎราชกุมารในเชื้อพระวงศ์ของประเทศอังกฤษทรงหยุดเรียนในมหาวิทยาลัยที่ทรงเรียนเป็นเวลา
1 ปี ทั้งนี้ เพื่อเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครเข้าโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทวีปอเมริกาใต้
เป็นต้น
ในขณะที่นักเรียนไทยอายุเท่ากัน
อาจจะตั้งใจท่องตำรับตำราอยู่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยม
โดยไม่เคยเหลียวมาสนใจเลยว่าฝรั่งหัวแดงพวกนี้มาทำอะไรกัน และทำเพื่ออะไร
เมื่อปี 2548 ผู้เขียนมีโอกาสไปศึกษาดูงานด้านการศึกษา
ณ ประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง และสาธารณรัฐประชาชนจีน
จะพบว่าการเรียนการสอนจะเน้นเนื้อหากับการปฏิบัติที่เข้มข้นมาก
การเรียนรู้นอกห้องเรียนมีความสำคัญมากพอๆ กับการเรียนในชั้นเรียน และนักเรียน
นักศึกษาเหล่านี้จะเดินทางไปศึกษาในต่างจังหวัดในประเทศของตนเองและต่างประเทศ
ในช่วงปิดภาคเรียนจะเป็นอาสาสมัครในองค์กรต่างๆ
จึงจะเป็นคำตอบได้ว่าทำไมคุณภาพทางการศึกษาของกลุ่มประเทศเหล่านี้จึงมีคุณภาพระดับต้นๆ
ของเอเชียและระดับโลก
จากการสำรวจและจัดอันดับ 100
มหาวิทยาลัยสุดยอดแห่งเอเชียประจำปี 2013-2014 ของนิตยสาร Time
Higher Education ของประเทศอังกฤษ พบว่า อันดับที่ 1
มหาวิทยาลัยโตเกียว อันดับที่ 2 มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ อันดับที่ 3
มหาวิทยาลัยฮ่องกง อันดับที่ 4 มหาวิทยาลัยเกาหลีใต้ อันดับที่ 5
มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และยังพบว่าประเทศญี่ปุ่นมี 20 มหาวิทยาลัยอยู่ใน 10
มหาวิทยาลัยรองลงมา ประเทศจีน 18 มหาวิทยาลัย เกาหลีใต้ 14 มหาวิทยาลัย
ประเทศจีนไต้หวัน 100 มหาวิทยาลัย ฮ่องกง 6 มหาวิทยาลัย สิงคโปร์ 2 มหาวิทยาลัย
และประเทศไทย 2 มหาวิทยาลัย ลำดับที่ 50 และ 82 ของเอเชีย
จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยลำดับคุณภาพต้นๆ
ในเอเชียใกล้บ้านเรามีมากมายทีเดียว แต่ทำไมคนไทย
เด็กไทยไม่นิยมไปศึกษาต่อเหมือนกับไปศึกษาในอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย
รวมทั้งนักการศึกษาไทยก็ไม่ค่อยนำผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของประเทศดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาเยาวชนไทยเท่าที่ควร
แต่ปี 2014 ยังโชคดีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ติดลำดับที่ 50
และมหาวิทยาลัยมหิดล ติดลำดับที่ 82 ของเอเชีย
ยังพอรักษาหน้าตาของประเทศไทยไว้บ้างไม่มากก็น้อย
อยากฝากเป็นข้อคิดว่า
ประเทศไทยลองส่งนักบริหารการศึกษาหรือนักเรียนไทยไปศึกษาดูว่าประเทศดังกล่าวเขาจัดการศึกษาอย่างไร
จึงมีคุณภาพดังที่ปรากฏแก่ชาวเอเชียและชาวโลก แต่ระยะหลังมีนักการศึกษา
ครู-อาจารย์ต่างๆ เดินทางไปในประเทศดังกล่าวมากขึ้น
แต่ไม่ทราบว่าไปศึกษาดูงานหรือไปทำกิจกรรมใด
แนวทางเริ่มต้นสู่การใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมคือ
การสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยในห้องเรียน
กระตุ้นให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหาหรือสิ่งทีชุมชนต้องการให้พวกเขาไปช่วยเหลือ
หรือสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของเพื่อนมนุษย์ในชุมชนดีขึ้นจากนั้นให้อิสระแก่ผู้เรียนเพื่อให้พวกเขาแสดงความรับผิดชอบในการจัดการทุกขั้นตอนในการเลือกหรือออกแบบกิจกรรม
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาในการดำเนินการ การจัดเตรียมอุปกรณ์
การลงมือปฏิบัติ การประเมินการให้บริการ และการสะท้อนความคิดหลังการปฏิบัติงาน
อย่างไรก็ตาม
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึงที่จะทำให้การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือ
กิจกรรมที่นักเรียนเลือกปฏิบัติควรเอื้อต่อการนำความรู้ที่เรียนมาใช้ประโยชน์
ตัวอย่างเช่น
นักเรียนอาจจะเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในการปลูกต้นไม้ในโรงเรียน
ซึ่งนักเรียนจะต้องแสดงให้เห็นถึงวิธีการนำความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาใช้
เช่น การทำกราฟหรือแผนภูมิแสดงปริมาณต้นไม้ ประเภทต้นไม้
หรือการบำรุงรักษาระบบนิเวศวิทยาในโรงเรียน เป็นต้น
ดังที่กล่าวมานี้
การเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อสังคมจึงน่าจะเป็นก้าวต่อไปของการพัฒนาหลักสูตร
เพราะเป็นหนทางตรงที่ทำให้ผู้เรียนของเราพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้
และพร้อมที่จะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกได้อย่างสง่างาม
โดยเฉพาะพร้อมที่จะแข่งขันกันกับกลุ่มประเทศในเอเชียต่อไป
การเสริมทักษะการเรียนรู้ด้วยการค้นคว้าด้วยตนเองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการให้ผู้เรียนมีทักษะในด้านนี้ทั้ง
3 ทักษะ ซึ่งสามารถจัดเชิงบูรณาการในสาระทุกสาระ ผู้สอนจึงสามารถนำมาใช้ได้ทุกเวลา
ทุกคาบก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ทำอยู่แล้วแต่ทำโดยไม่ใช้หลักการ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน
จึงไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนเท่าที่ควร
ที่มา : มติชนรายวัน 8 มกราคม 2558
บทความโดย
ม.ชูเกียรติ ไชยทวีวิวัฒน์กุล