รูปภาพของปรีย์นันท์ ลองจำนงค์
สภาวะความดี
โดย ปรีย์นันท์ ลองจำนงค์ - พุธ, 9 มีนาคม 2016, 02:00PM
 

สภาวะความดี

"ความดี" แท้ๆ คืออะไร? หากเอาผลสรุป ของพุทธศาสนา ของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาอ้าง หรือมากล่าวเลย เราก็จะได้เป็นจุดยอด จุดแท้กันเลย ทีเดียวว่า "ความดี" ขั้นสุดยอด คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น และ ไม่เบียดเบียน แม้แต่ตัวเอง ถ้ายังเบียดเบียนตัวเอง อยู่อย่างมาก แม้จะไม่เบียดเบียน ผู้อื่นสิ้นแล้ว ก็ยังไม่ถือว่า เป็น "ความดี" ขั้นสุดยอด   การไม่เบียดเบียนผู้อื่น กับไม่เบียดเบียน ตนเองนั้น คืออย่างไร

"การเบียดเบียน" คืออะไร? ก็ต้องรู้ถึง ความเป็นอยู่ ธรรมดาปกติ ของคนเสียก่อน อันนี้ เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ "คน" ทั้งหลาย ส่วนมากนั้น จะยังไม่รู้เลยว่า ตนเป็นอยู่ได้ด้วยอะไร? หรืออะไร ที่ตนยึดถือ เอามาเป็น "ชีวิต"? หรือ อะไรที่เราใช้ เป็นเครื่องนำพา "ชีวิต" ให้เป็นไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้? ใครเคยนึก เคยคิดบ้างหรือเปล่า  คน"นั้น เป็นอยู่ได้ด้วย "การเสพ" นั่นคือ คำตอบที่ถูกที่แท้ ดังนั้น ถ้าไม่รู้ว่า "การเสพ" คืออะไรเสียแล้ว ก็จะไม่รู้ ถึงเรื่องอื่นใดอีกเลย โดยเฉพาะ "การเบียดเบียน" หรือ "การบังเบียด" 

"การเสพ" ทั้งหลายก็คือ "การจับจ่าย" ตามให้ดี และตรองให้ดี ไม่ว่าจะเป็น การเสพใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อลงมือ "เสพ" ก็คือลงมือ "จับจ่าย" ออกไป หรือ "ทำลาย" สิ่งที่ตนเสพนั้นลงไป โดยตัวเราเอง ดังนั้น ถ้าไม่มีค่าจ้าง หรือ สิ่งแลกเปลี่ยน ที่เราจะไป "จับจ่าย" แลกสิ่งที่จะเสพนั้นมา เราก็จะต้อง "เป็นหนี้" เขาไว้ทันที จึงจะได้ "เสพ" สิ่งนั้นๆ นั่นคือ การมองให้เห็นอย่างละเอียด ถ้ามองกันอย่างผิวเผิน คนก็จะเข้าใจ เอาง่ายๆ ว่า "การเสพ" คือ การได้มา "การเสพ" คือการรับเข้ามา แต่ฝ่ายเดียว แต่คนก็ไม่ยอมคิดให้เห็นว่า ก่อนจะได้เสพนั้น ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เราจะต้อง "ลงทุน" หรือ หาสิ่งที่จะเป็น ของแลกเปลี่ยน มาไว้ก่อน แล้วก็ต้อง "จับจ่าย" ทุนที่หามาได้ เป็นของแลกเปลี่ยน สิ่งที่จะเสพไป จึงจะได้มาซึ่ง "การเสพ"นั้นๆ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็มีอีก กรณีหนึ่ง คือ จะได้ "เสพ" ก่อน โดยถือว่าผู้เสพ "เป็นหนี้" ผู้ที่ให้สิ่งนั้นมา "เสพ" ไว้ แล้วค่อย "จับจ่าย" ใช้หนี้ "ผู้ให้" นั้นทีหลัง   ไม่มีใครในโลก ไม่ว่าโลกนี้ หรือโลกไหน จะไม่มีการได้อะไร มาฟรีๆ เป็นอันขาด ถ้าไม่ได้มา เพราะลงทุน แลกเปลี่ยน เช่น การซื้อขายธรรมดาๆ ก็จะต้องได้มา โดยที่เราเคยได้ "จับจ่าย" หรือลงทุนไว้แล้วหลายวันมาแล้ว เราเพิ่งจะได้สิ่งตอบแทน แลกเปลี่ยนนั้นมา หรือไม่เช่นนั้น ก็จะต้องได้มา เพราะเราลงทุน "จับจ่าย" ไว้ พอมาถึงคราว สิ่งเหล่านั้น จะต้อง "ได้มา" เป็นของเรา เราก็จะได้มา บางคนจะไม่ได้จำเอาไว้ เสียด้วยซ้ำไปว่า ได้ลงทุน จับจ่าย เอาไว้ เช่นให้ใครๆ เขาไป โดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้นึกคิด จะรับผลตอบแทนอะไร  จึงจำไม่ได้เลยว่า ได้ลงทุน "จับจ่าย" ไว้แล้ว แต่สิ่งที่ให้ไปนั้น มันจะต้องส่งผลสะท้อน กลับคืนมายังเราจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่เมื่อใดก็เมื่อหนึ่ง อย่างแท้จริง นั่นแหละคือ สิ่งที่เราจะเห็น เป็นกำไร หรือเป็น "โชค" เป็น "วาสนา" เป็น "บารมี" ของเรา หรือ เรียกกันง่ายๆ ทั่วไปว่า เป็นบุญเก่า เป็นกุศลปางก่อน นั่นเอง ยิ่งบางคนนั้นลงทุนจับจ่ายไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เขาได้ลงทุน "จับจ่าย" ข้ามชาติไว้ ถ้าใครสะสมไว้มากๆ พอสิ่งเหล่านั้น มาส่งผลให้ ในชาตินี้ ก็ไม่รู้ ไม่แจ้งว่า ทำไมตนเอง ต้องเกิดในที่ดีบ้าง เกิดบนกองเงิน กองทองบ้าง บางคนเกิดมาไม่เห็นต้องดิ้นรนอะไร แต่ได้มาไหลมาเทมาบ้าง และ ผู้เกิดมาพร้อมมูล เพราะฉะนั้น จึงมองกันไม่เห็น อ่านกันไม่ออก รู้กันไม่ได้ว่า ที่แท้นั้น เราจะไม่ได้อะไร มาฟรีๆเลย เป็นอันขาด ไม่ว่าสิ่งใดๆ ทั้งมวล ทั้งสิ่งของวัตถุ และ ทั้งอารมณ์จิตใจ ทุกประการ และ เช่นเดียวกัน ผู้ใดลงทุนอันใดไว้ หรือ "จับจ่าย" ไว้ แต่ยังไม่ได้ "เสพ" สิ่งที่ตน จับจ่ายไว้นั้นๆ ก็จะไม่มี สูญหายไปไหน สิ่งที่ "ลงทุนจับจ่าย" ไว้นั้น ก็จะเป็น "ทุนสะสม" ของเราทั้งสิ้น สักวันหนึ่ง จะต้องหมุนเวียน มาคืนให้เราจนได้

 

 

อ้างอิง : ข้อมูลจาก

ประกายธรรม ๑

http://www.asoke.info/Book/prakaidham/pk01.html

บทความ  โดย    นางสาวปรีย์นันท์    ลองจำนงค์