ปรับการกิน แค่ลดเค็ม ก็ลดโรคไต
ทุกวันพฤหัสบดี
สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคมของทุกๆ
ปี ได้ถูกกำหนดให้เป็นวัน ไตโลก (world kidney day) ซึ่งในปีนี้
ทางสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการจัดกิจกรรมและรณรงค์
ภายใต้คำขวัญที่ว่า “โรคไตเป็นได้ตั้งแต่เด็ก
รู้แต่เล็กป้องกันได้” โดยมุ่งเน้นโรคไตในเด็กเป็นสำคัญ
เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีผู้ป่วยไตซึ่งอายุน้อยลงไปเรื่อยๆ
สาเหตุอาจเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลา
ต้องทานอาหารนอกบ้าน อาหารสำเร็จรูป อาหารจานด่วน ต่างๆ
ซึ่งมีการปรุงแต่งโดยคำนึงถึงรสชาติมากกว่าสุขภาพของผู้บริโภค สำนักโภชนาการ
กรมอนามัย สำรวจพบว่าคนไทยมีการบริโภคเกลือหรือโซเดียมสูงเกินปริมาณแนะนำถึง 2
เท่า ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อไตตามมาได้ หน้าที่สำคัญของไต
คือ การขับของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย ควบคุมความสมดุลย์ของเกลือแร่และน้ำในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ นอกจากนี้ไตยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ด้วย
เช่นการสร้างวิตามินดี (vitamin D) เพื่อช่วยควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย
รวมถึงการสร้างฮอร์โมนอีริโทรพอยอิทิน (erythropoietin) เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
และการหลั่งเอนไซม์เรนิน (renin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันโลหิต
ส่วนอาการของโรคไต
เริ่มจากตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย บางคนมีอาการบวม
ปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน โลหิตจาง อ่อนเพลีย จนกระทั่งมีการคั่งของของเสียมาก
ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดภาวะชัก และหากไม่ได้รับการรักษา
อาจทำให้มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและเสียชีวิตตามมาได้
จากสถิติของคนไข้
โรคไต ในผู้ใหญ่ เราพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก
โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไตอักเสบ นอกจากนั้น
สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้แก่ นิ่วที่ไต เก๊าท์ หรือยาที่มีผลกระทบต่อไต เช่น
ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ที่เราเรียกว่า NSAID และกลุ่มยาสมุนไพรที่ไม่ทราบสรรพคุณที่ชัดเจน
สำหรับการรักษาโรคไตนั้น ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ควรหมั่นพบแพทย์ให้สม่ำเสมอเพื่อปรับยาเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของไต
และควรควบคุมเบาหวาน และความดัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ส่วนคนทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง
แนะนำให้ตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย
หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน
ลดอาหารเค็มเพราะทำให้ไตทำงานหนัก และทำให้บวมและมีความดันโลหิตสูง
สำหรับคำแนะนำทั่วไปในการเลือกรับประทานนั้น
คุณหมอแนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็มหรือลดปริมาณการใช้สารปรุงรสในอาหาร
เช่น เกลือ ผงชูรส น้ำปลา ซีอิ๋วหรือซอสต่างๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทผลไม้แช่อิ่ม
อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บางครั้งอาหารบางอย่างไม่มีรสชาติเค็มแต่มีส่วนประกอบของโซเดียมอยู่ด้วยก็ควรระมัดระวัง
เช่น ขนมที่ใช้ผงฟู เค้ก คุ๊กกี้ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอาหารนั้นมีผลกระทบต่อโรคไต
ดังนั้นจึงควรช่วยกันรณรงค์ปลูกฝังให้เด็กยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพ ออกกำลังกาย
ไม่อ้วน ไม่กินหวาน ไม่กินเค็ม เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
และมีสุขภาพไตที่ดีต่อไปในอนาคต
บทความโดย โดย
นพ.สุรวัฒน์ อดิเรกเกียรติ / อายุรแพทย์โรคไต
โรงพยาบาลปิยะเวท
มิสสุภาพร แสนบรรดิษฐ์