ในหนึ่งองค์กรก็เปรียบเสมือนสังคมขนาดย่อมที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายรูปแบบมารวมตัวกัน
จึงไม่แปลกที่ทุกองค์กรจะต้องมีทั้งพนักงานกลุ่มแนวหน้าที่ผลงานโดดเด่นเป็นซุปตาร์
กับพนักงานธรรมดาสามัญชน
รวมไปถึงพนักงานในมุมมืดที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์อะไรให้แก่องค์กร แน่นอนถ้าเลือกได้
ใครๆ ก็คงอยากอยู่กลุ่มพนักงานดีเด่นกันทั้งนั้น
แต่หลายครั้ง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
พวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนก็อาจจะมีเผลอก้าวเข้าไปอยู่หลังเส้น “ควรปรับปรุง”
ได้เช่นกัน วันนี้ลองมาสำรวจตัวเองตั้งแน่เนิ่นๆ ว่าเรามีพฤติกรรมเข้าข่ายควรพัฒนาข้อไหนกันบ้างหรือเปล่า
จะได้ก้าวหนีกลับออกมาอยู่ในกลุ่มพนักงานดีเด่นได้ทันก่อนจะสาย
ประเภทที่ 1 เช้าชามเย็นชาม
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานมานานจนหมดไฟ หรือผู้ที่ไม่เคยมีไฟมาตั้งแต่ต้น
พนักงานกลุ่มนี้ คือ กลุ่มคนนิยมการทำงานแบบสโลว์ไลฟ์ ทำงานสบายๆ ให้เสร็จไปวันๆ หนึ่ง
ไม่เคยจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้องค์กร
ไม่เคยคิดจะทำให้มากขึ้นหรือดีขึ้น นิยมความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
เรียกว่าทำงานให้พอผ่านประเมินแค่ในระดับดีหรือพอใช้ได้ก็พอใจแล้ว
พนักงานในกลุ่มนี้หลายคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องความสามารถในการทำงาน
แต่เป็นปัญหาด้านการขาดจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจ ทำให้ไม่ค่อยอยากทำงาน
บางทีก็อยากหยุดงานลางานเสียดื้อๆ หากคุณเริ่มมีอาการนี้ต้องรีบเติมพลัง
เติมไฟให้ตัวเองเป็นการด่วน อย่าปล่อยให้ไฟมอดอย่างถาวร
ควรหาเป้าหมายให้ชีวิตเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเวลาคุณเบื่อหรือท้อแท้
แต่หากงานที่ทำอยู่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตของคุณจริงๆ
ก็ไม่เสียหายที่จะลองมองงานใหม่เอาไว้บ้าง
ประเภทที่ 2 ประจบประแจง
ตรงข้ามกับกลุ่มแรก พนักงานกลุ่มนี้มีพลังงานสูง
มีความสามารถในการปรับตัวเป็นเลิศ ชอบเข้าสังคมทำความรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่
มีความกระตือรือร้นที่จะดูแลเอาใจใส่เจ้านายเป็นพิเศษ
แต่มักจะขาดการพยายามพัฒนาตนเองในเรื่องการทำงาน
เรียกว่าใช้พลังงานไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ใจความสำคัญ แม้ถ้าทำได้สำเร็จก็มักจะได้ดีมีตำแหน่งโดยไม่ต้องใช้ความสามารถในการทำงานมากนัก
แต่การเอาตัวเองไปผูกติดกับเจ้านายนั้น
แม้อาจเป็นบันไดสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ขาดความแน่นอน
วันใดเจ้านายมีคนโปรดคนใหม่ หรือมีอันต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลง
คนที่ขาดความสามารถในการทำงานจะอยู่ในองค์กรต่อได้อย่างลำบากแน่นอนยิ่งในโลกที่การแข่งขันสูงอย่างเช่นทุกวันนี้
จึงน่าจะดีกว่าถ้าคุณทั้งเก่งทั้งมีความสามารถและรู้จักเอาใจเจ้านายบ้างตามความเหมาะสม
ประเภทที่ 3 อีโก้สูงจัด
คนที่มีผลงานดีเด่นมาตลอดจนเริ่มติดในวังวนแห่งความสำเร็จก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเภทพนักงานที่ต้องพัฒนาเช่นกัน
เพราะเมื่อใดที่คุณเริ่มคิดว่าตัวเองเก่ง
นั่นเป็นสัญญาณแรกของการเริ่มหยุดเรียนรู้ และเมื่อใดที่คุณหยุดเรียนรู้
โลกของคุณจะแคบลงเรื่อยๆ สวนทางกับโลกแห่งการทำงานยุคใหม่ที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมากมายในแต่ละวัน
ต่อให้คุณเก่งขนาดไหนก็ย่อมไม่มีทางถึงขั้นสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นจึงควรเปิดใจรับฟังคำติชม
คำแนะนำจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานด้วยใจเป็นกลางและนำมาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากทำได้แล้วคุณจะค้นพบว่ายังมีอีกหลายอย่างที่คุณทำได้หรือทำได้ดียิ่งขึ้นอีก
การทำงานจะสนุกขึ้นมาก นอกจากนี้การเป็นคนเก่งที่นิสัยดีด้วย
ย่อมทำให้คุณเป็นที่รักและมีความสุขในการทำงานมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
ประเภทที่ 4 ฉันทำไม่ได้
อีกหนึ่งประเภทพนักงานที่ควรพัฒนาศักยภาพของตัวเองคือกลุ่มคนที่ขาดความคิดเชิงบวกในการมองปัญหา
ทุกครั้งที่โปรเจคใหม่เข้ามา หรือเกิดปัญหาขึ้น
พนักงานกลุ่มนี้จะตั้งแง่ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด
พวกเขาจะไม่ยอมลงมือทำใดๆ บางคนอาจจะลองอย่างขอไปทีและสุดท้ายก็ไม่เกิดผลสำเร็จใดขึ้นมา
อย่าลืมว่าเมื่อปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นความแตกต่างระหว่างพนักงานติดลบกับพนักงานที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีแค่ว่า
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะคิดว่า
เรื่องนี้ต้องมีทางออกและพยายามไปคิดหาวิธีทำให้สำเร็จ
และเมื่อพวกเขาลงมือทำอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเก่งขึ้นไปด้วยในกระบวนการแก้ปัญหานั้น
ทุกปัญหาคือการเรียนรู้ การเผชิญหน้ากับความกลัวและความยากลำบากเท่านั้นที่จะทำให้คนเติบโตและเก่งขึ้นได้
ประเภทที่ 5 งานกองท่วมหัว
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด พนักงานกลุ่มที่ยุ่งตลอดเวลาก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่ต้องลองหยุดพักและพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องยุ่งทั้งวันทั้งคืนจนขาดชีวิตส่วนตัว
ถ้าคุณมีงานเยอะล้นมือจริง
อาจจะถึงเวลาต้องคุยกับหัวหน้างานในการหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง
การให้คนหนึ่งคนรับหน้าที่มากเกินไปย่อมต้องมีสักวันที่ผลงานจะเริ่มต่ำกว่ามาตรฐานหรือต้องมีสักวันที่ร่างกายจะรับไม่ไหวจนต้องเจ็บป่วยร้ายแรงก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างกันมากมาย
แต่หากเนื้องานจริงๆ ของคุณไม่มาก แต่อาจจะเป็นที่ตัวคุณเอง
ไม่ว่าจะขาดความรู้ในงานนั้นๆ หรือขาดการบริหารจัดการเวลาที่ดี คุณต้องมองปัญหาให้ตรงจุดและแก้ไขที่ต้นเหตุ
อย่ายึดติดกับค่านิยมเดิมๆ ที่ว่า การทำงานมาเช้ากลับดึก
งานยุ่งตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ดี
คนที่สามารถทำงานปริมาณมากได้ดีโดยใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าต่างหากที่จะสามารถสร้างความแตกต่างให้กับตัวเองและองค์กรได้
จริงๆ แล้วพนักงานที่จะต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเองไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ 5
ประเภทนี้เท่านั้น แต่เป็นพวกเราทุกคนที่จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ในการทำงานเป็นเรื่องปกติ ที่เราอาจจะต้องเจอปัญหาหนัก งานล้นมือ
หรือต้องสู้กับความเบื่อหน่ายในการทำงานบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือเราจะทำอย่างไรเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น
จะปล่อยให้มันดึงเราจมลงสู่ความมืดและคิดว่านั่นคือตัวตนของเรา
หรือจะฉุดตัวเองขึ้นมาในแสงสว่างและแสดงให้โลกเห็นถึงสิ่งที่เราเป็นจริงๆ
คนทุกคนเกิดมามีศักยภาพมากอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่การลงมือทำเท่านั้นที่จะสร้างความแตกต่างในชีวิตของแต่ละคนได้
***********************************