1.
แผนการเกษียณอายุเป็นการป้องกันชีวิตตัวเองตกต่ำไม่ให้ตกถึงขีดสุด
การวางแผนชีวิตตัวเองเรื่องการเกษียณคล้ายๆ
กับการทำประกันชีวิต
ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้อีกต่อไปคุณจะทำยังไง
คุณจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงตัวในวันที่คุณทำงานไม่ได้ คนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิต
พอตอนเกษียณก็ต้องทนใช้ชีวิตกินอาหารถูกๆเพราะเดี๋ยวเงินหมด
แถมเงินเฟ้อก็ยังทำให้ค่าเงินของคุณลดมูลค่าไปราวๆ 2-4% ต่อปี
สุดท้ายถ้าคุณเงินหมดในวัยเกษียณ
คุณก็ต้องหางานทำหรือไม่ก็ต้องสร้างธุรกิจใหม่อยู่ดี
แล้วการเกษียณมันจะต่างอะไรจากตอนที่ไม่เกษียณ
2.
ดอกเบี้ยและสภาพร่างกายเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลา
การทำอะไรซ้ำๆกันวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อล้มพับหรือรอเสพสุขตอนแก่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อนๆผมหลายคนหน้าตาเหี่ยวย่นทั้งๆที่อายุยังน้อยเพราะทำงานกองมหึมาและอด นอน
งานกับการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ในชีวิตหนึ่งถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นคุณพักผ่อนถึง 1 ใน 10
ของการทำงานหรือเปล่า
เราไม่ควรทำงานหนักเพื่อสะสมความสุขยามเกษียณหรอก แถมประสิทธิภาพของคุณก็ขึ้นๆลงๆ
คุณควรพักผ่อนและทำงานเฉพาะตอนที่คุณกำลังมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างผล
ออกดอกและมีความสุขยิ่งกว่า
3.
ทำน้อยไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ
การทำงานเยอะแต่ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไร้คุณภาพเป็นที่ยอมรับมากกว่าคนที่ทำงาน
น้อยแต่มีประสิทธิภาพ บางคนเอาคุณภาพงานมาวัดด้วยเวลา ยิ่งนานแสดงว่ายิ่งขยัน
การทำน้อยหลายๆครั้งสามารถสร้างผลงานได้มากกว่าการทำเยอะๆด้วยซ้ำ
เศรษฐีมิติใหม่แม้จะทำงานในออฟฟิตน้อยกว่า แต่สามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่าคนที่ทำงานเยอะ
10
คน เน้นทำตัวให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทำตัวให้ยุ่ง
4.
จังหวะที่ดีที่สุดไม่มีในโลก
ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ลงมือเลย
ติดขัดอะไรก็แก้ไขระหว่างทาง อย่ารอให้วันดีๆมาหาคุณโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไร
โลกไม่ได้กลั่นแกล้งคุณแต่ก็ไม่ได้เอาความสำเร็จใส่พานมาให้คุณด้วย
การรอโอกาสและใช้คำว่า “ซักวันหนึ่ง” มันจะทำให้คุณเอาความฝันลงหลุมไปพร้อมกับคุณ
5.
ทำไปก่อนค่อยมาขอโทษทีหลัง
ถ้าคุณลงมือทำตามใจที่คุณอยากทำแล้วไม่มีคนอื่นเดือดร้อน
ไม่มีใครที่จะต้องเจ็บตัวจากการตัดสินใจของคุณ ทำไปเลย ไม่ต้องขออนุญาติใคร
อย่ารอให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ลงมือทำ อย่าให้ใครมาห้ามคุณได้
คนส่วนใหญ่จะห้ามคุณไม่ให้คุณเร่งเครื่อง ถ้าคุณมั่นใจ คุณก็ไม่ควรหยุด
ไว้เครื่องพังเมื่อไหร่ก็ค่อยขอโทษก็ได
6.
เน้นเพิ่มจุดแข็ง ไม่ต้องสนใจจุดอ่อน
คนส่วนใหญ่เก่งอยู่ไม่กี่ด้าน นอกนั้นแย่หมด
หลายคนเก่งคิดและทำไม่ได้เรื่อง ถ้ามันยุ่งยากนักก็จ้างคนอื่นทำให้แทนเลยสิ
การเน้นจุดแข็งมีประโยชน์มากกว่าอุดรูรั่ว
เน้นใช้อาวุธไม้ตายดีกว่าทำอะไรที่ไม่ถนัดครึ่งๆกลางๆ
7.
อะไรที่มากเกินไปมักกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
ของดีๆ ถ้ามีมากเกินไปก็จะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุกับเวลา
เยอะไป มากไป หรือบ่อยไปก็ไม่ดี เพราะมันจะกลายเป็นพิษร้ายสำหรับคุณ
บางคนทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่มันไม่จำเป็นต่อชีวิตเขา เป็นหนี้หัวโต
กลายเป็นชีวิตต้องทำงานเพื่อวัตถุ
เครียดว่าจะหาเงินมาผ่อนเดือนชนเดือนทันหรือเปล่า
8.
เงินเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออก
คำว่า “ถ้ามีเงินเยอะกว่านี้” เป็นคำพูดของคนที่ชอบผลัดผ่อน
เป็นการเลื่อนการตัดสินใจทำสิ่งสำคัญๆต่อชีวิตไปในภายภาคหน้า
หลายๆเรื่องมันเป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้
แต่การใช้คำนี้ทำให้เหตุผลที่จะไม่ลงมือทำดูสวยงามทันที การพยายามทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา
ทำชีวิตให้ยุ่งเข้าไว้แล้วโกหกตัวเองว่าทั้งหมดทำเพื่ออนาคตเป็นเรื่องที่
ไม่เข้าท่า เป็นภาพลวงตา หลอกตัวเองสิ้นดี
มันเป็นเกมส์ที่ทำให้เราไม่ต้องคิดเรื่องยากๆ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน
แต่อยู่ที่คุณ
9.
คิดถึงรายได้ที่เพียงพอทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย
เศรษฐีมิติใหม่ไม่ได้สนใจเงินก้อนโต
แต่เขาสนใจรายได้ที่จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายด้วยเวลาทำงานที่น้อยที่สุด
และที่สำคัญเขาสนใจคุณภาพของรายได้มากกว่าปริมาณ อย่างเช่นนาย ก ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้เงิน 50,000 ต่อเดือน กับนาย ข
ได้เงิน 25,000 ต่อเดือน แต่ทำงานวันละชั่วโมง
กรณีอย่างนี้ถือว่านาย ข รวยกว่า เพราะถ้าเอาเวลาที่ใช้ไปมาหารกับรายได้น้อยกว่า
นาย ข จะมีเวลาทำเงินและทำอย่างอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายตัวเองด้วย
10
ความเครียดคือยาเสริมและยาพิษ
คนที่หลีกหนีคำตำหนิทั้งหมดจะเป็นคนที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต
หลายๆครั้งถ้าไม่มีแรงกดดันชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า
ยิ่งเราสามารถสร้างความเครียดที่ดีเพื่อส่งเสริมชีวิตตัวเองได้มากเท่าไหร่
เรายิ่งมีโอกาสที่ชีวิตจะเติบโตและไปถึงฝั่งฝันได้มากขึ้นเท่านั้น
อย่าพยายามหนีความเครียดด้วยการไม่ทำอะไรเลย ถ้าคุณแยกความเครียดที่ดีและเอามาใช้ประโยชน์ได้
ชีวิตคุณจะก้าวไปข้างหน้าเยอะเลย