ถ้าเป้าหมายของการใช้ชีวิตไม่ใช่อยู่เพื่อหาความสุขแล้วจะอยู่เพื่ออะไร” เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยถามตัวเองแบบนี้ เพราะคนส่วนใหญ่นั้นวิ่งไล่หาความสุข อยากจะครอบครองมัน แต่เคยมีใครสงสัยไหมว่าความสุขที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร สุภาษิตของฟินนิชกล่าวไว้ว่า “ความสุขที่แท้จริง คือ ความพอดี ไม่มากไปและไม่น้อยไป” เนื่องจากทุกคนมีความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด เรามักจะไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เช่น เราต้องการรถคันที่ใหม่กว่า อยากเที่ยวสถานที่ที่สวยงาม อยากทำงานที่ใฝ่ฝัน หรืออยากเริ่มทำธุรกิจด้วยตัวของเราเอง
ทุกครั้งที่เราทำตามเป้าหมายสำเร็จ เรามักจะมีเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายขึ้นเสมอ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราต้องระลึกไว้ คือ “ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรจิรังยั่งยืน ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป” เมื่อเราได้ในสิ่งที่เราต้องการ เราต้องยอมรับว่าความสุขจะอยู่กับเราในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และจะถูกแทนที่ด้วยความต้องการหาความสุขจากสิ่งใหม่
อย่างไรก็ตามชีวิตไม่ได้มีเพียงความสุขที่เราได้จากการทำบางอย่างสำเร็จเท่านั้น (เพราะเรามีความต้องการที่ไม่จบสิ้น) แต่เป็นการได้ทำอะไรสักอย่างที่มีความหมายระหว่างการเดินทางไปยังเป้าหมายต่างหาก เพราะไม่ว่าเราจะยึดติดกับความสุขและสนุกสนานกับชีวิตมากขนาดเพียงใด สุดท้ายแล้วมันก็จะลดลงและจากเราไป เหลือเพียงแค่ความทรงจำที่ดี ความสุขในใจที่เป็นฝ่ายให้ การได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อคนอื่นและใช้ชีวิตอย่างมีความหมายเท่านั้น
การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
คนที่มีความสุขและได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นั้นถือว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เพราะได้ใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญและมีค่ากับตัวเอง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นให้คุณค่ากับเรา แล้วเราไม่ได้ลงเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ วันนี้เรามี 3 สัญญาณหลัก ที่บ่งบอกว่าเราไม่ควรเสียเวลาสูญเปล่ากับสิ่งที่ทำ
1.ไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะตื่นไปทำสิ่งนั้น
นี่เป็นสัญญาณที่อาจจะบ่งบอกว่างานนั้นไม่ใช่สำหรับเรา ถ้าถึงจุดที่เราคิดว่าการออกไปทำงานในทุกวันเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเอาเสียเลย เรากำลังบั่นทอนช่วงเวลาแห่งความสุขและพลังงานบวกในตัวของเรา เพราะฉะนั้นเรามีทางเลือก 2 ทาง คือ หนึ่ง หยุดทำมัน กับสอง พยายามหาวิธีที่จะทำให้มันเป็นเรื่องที่ตื่นเต้น ท้าทายและสนุกกับมัน
2.ไม่ได้รู้สึกหลงไหลในสิ่งที่ทำตลอดเวลา
เป็นเรื่องธรรดาของทุกคนที่มีสิทธิ์คาดหวังแล้วอยากจะทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นจริง แม้ว่าจะมีสัญชาตญาณบางอย่างที่บอกว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เรารู้สึกมีความสุขชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปถ้ามันกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความว่างในใจอีกครั้ง นี่เป็นสัญญาณที่ทำให้เราเห็นได้ชัดเลยว่า นี่ไม่ใช่งานที่มีความหมายกับชีวิตเราเลย
3.กลัวที่จะทำมันต่อไปในอนาคต
ถ้าปัจจุบันเราไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่เรายังกัดฟันทนทำสิ่งนั้นอยู่ เพียงเพราะกลัวที่จะก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้น ยิ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง อย่าปล่อยให้ความกลัวที่จะล้มเหลวรั้งเราไว้ อย่าปล่อยให้มันปิดโอกาสในการตามล่าหาความฝันของเรา
จริง ๆ แล้ว การที่เราคอยสังเกตสัญญาณเหล่านี้ จะทำให้เรามีเวลามากขึ้น เพื่อเลือกทำในสิ่งที่เรารัก ซึ่งมันอาจจะเป็นการพักผ่อนหรือการมีความสุขกับสิ่งที่เรียบง่าย อย่างเช่น การได้ดูหนังสักเรื่อง การเขียน หรือการวาดรูปก็ได้ ตราบใดที่สิ่งนั้นทำให้เราสบายใจ นั่นถือว่ามันทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จหรือมีชีวิตที่มีความหมายแล้ว
การใช้ชีวิตให้มีประโยชน์
การที่เรามีความสุขทุกครั้งที่ทำสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายได้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เคยคิดหรือไม่ว่าหรือจริง ๆ แล้วเราก็อยากเป็นเพียงแค่ผู้ให้บ้าง
อย่างที่เราเห็นว่าความสุขที่แท้จริงนั้นย่อมได้มาจากการทำตัวให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นและการใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์มีจุดเริ่มต้นมาจากการเปลี่ยนวิธีการคิดของเราเอง เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่มีผลกระทบมากมาย มันอาจจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ เช่น การช่วยคนชราข้ามถนน การให้เงินสนับสนุนเลี้ยงดูเด็กกำพร้า การเรียนรู้สิ่งใหม่ หรือช่วยเพื่อนร่วมงานของเรา อะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำมัน นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว
“ความสุข” เป็นคำที่แต่ละคนให้ความหมายที่แตกต่างกันออกไป เราไม่ควรปล่อยให้สังคมเป็นตัวกำหนดนิยามความสุขให้กับเรา แต่เราควรค้นหาความหมายของมันด้วยตัวของเราเอง