ในปัจจุบันสถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนในประเทศไทยได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือ ในการสร้างสื่อการเรียน การถ่ายทอดความรู้เป็นระยะเวลานานพอสมควร โดยเริ่มตั้งแต่การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์จากนั้นก็มีการสร้างสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่แทนที่เอกสารหนังสือที่เรียกว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI (Computer Aided Instruction) ซึ่งมีซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย ทั้งที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการดอส เช่น โปรแกรมจุฬาซีเอไอ (Chula CAI) ที่พัฒนาโดยแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โปรแกรม ThaiTas ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์เทคโนโลยีเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ รวมถึงซอฟต์แวร์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ เช่น ShowPartnet F/X, ToolBook, Authorware
ในปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วและได้ก้าวมาเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ โดยพัฒนา CAI เดิม ๆ ให้เป็น WBI (Web Based Instruction) หรือการเรียนการสอนผ่านบริการเว็บเพจ ส่งผลให้ข้อมูลในรูปแบบ WBI สามารถเผยแพร่ได้รวดเร็วและกว้างไกลกว่าสื่อ CAI ปกติ ทั้งนี้ก็มาจากประเด็นสำคัญอีก 2 ประการ
- ประเด็นแรก ได้แก่สามารถประหยัดเงินที่ต้องลงทุนในการจัดหาซอฟต์แวร์สร้างสื่อ (Authoring Tools) ไม่จำเป็นต้องซื้อโปรแกรมราคาแพงมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสื่อการเรียนการสอนเพราะสามารถใช้ NotePad ที่มาพร้อมกับ Microsoft Windows ทุกรุ่น หรือ Text Editor ใดๆ ก็ได้ลงรหัส HTML (HyperText Markup Language) สร้างเอกสาร HTML ที่มีลักษณะการถ่ายทอดความรู้ด้านการศึกษา
- ประเด็นที่สอง เนื่องจากคุณสมบัติของเอกสาร HTML ที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้ทั้งข้อความ ภาพเสียง VDO และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยงไปตำแหน่งต่างๆ ได้ตามความต้องการของผู้พัฒนา ส่งผลให้การพัฒนา สื่อการเรียนการสอนในรูปแบบ WBI เป็นที่นิยมอย่างสูง และได้รับการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบมาเป็นสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบ E - Learning (Electronic Learning) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน
E-Learning จึงเป็นระบบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเว็บ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีสภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา (Active Learning) และการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center Learning) ผู้เรียนเป็นผู้คิด ตัดสินใจเรียน โดยการสร้างความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ด้วยตนเอง สามารถเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ให้เข้ากับชีวิตจริง ครอบคลุมการเรียนทุกรูปแบบ ทั้งการเรียนทางไกล และการเรียนผ่านเครือข่ายระบบต่างๆ
ข้อได้เปรียบของ E - Learning กับสื่ออื่น ๆ
จากการศึกษาพบว่า E - Learning มีข้อได้เปรียบ หลายประการด้วยกัน กล่าวคือ
- ช่วยให้การเรียนการสอนมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผู้สอนสามารถสร้างสื่อการสอนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพ ภาพเคลื่อนไหว งานนำเสนอต่าง ๆ แล้วนำไปใส่ไว้ในระบบ E - Learning
- เปิดกว้างสำหรับผู้เรียนในการศึกษานอกเวลามากขึ้น ผู้เรียนสามารถทบทวนหรือทำแบบฝึกหัดในลักษณะที่มีการตอบสนองกับผู้เรียน (Interactive) ได้
- ประหยัดและลดการใช้กระดาษหรือเอกสารประกอบการเรียน
- ลดข้อจำกัดเรื่องระยะทางหรือเรื่องการเดินทางของผู้สอนหรือผู้เรียนได้ในบางกรณี เช่น กรณีที่ผู้สอนไม่สามารถมาสอนได้ก็สามารถนำเอกสารการสอนส่งไปยังระบบ E - Learning แล้วให้ผู้เรียนมาเปิดเอกสารในระบบ E - Learning ได้จากคอมพิวเตอร์ที่ผู้เรียนใช้อยู่ได้
ข้อเสียเปรียบของ E – Learning กับสื่ออื่น ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม E - Learning ก็มีข้อเสียเปรียบหลายประการ ได้แก่
- พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่เท่าเทียมกันของทั้งผู้สอนและผู้เรียนทำให้การนำ E - Learning มาใช้นั้นไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลทำให้การเรียนโดยผ่านระบบนี้กลับเป็นปัญหาในการเรียนและการสอนได้อีกด้วย
- ระบบ E - Learning มีข้อจำกัดชัดเจนทางด้านเทคโนโลยี ได้แก่ ความพร้อมทางด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพร้อมและเพียงพอที่จะรองรับความต้องการของผู้สอนและผู้เรียน เพราะถ้าขาดความพร้อมทางด้านนี้ก็ทำให้การเรียนและการสอนทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
แหล่งอ้างอิง
http://www.nectec.or.th/courseware/cai/0018.html
http://www.capella.edu/elearning
www.school.net.th/library
www.nectec.or.th/courseware
www.thaiwbi.com
www.thai2learn.com