การพัฒนางานธุรการและงานสารบรรณโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การพัฒนางานธุรการและงานสารบรรณโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา Development of clerical and administrative tasks Assumption Nakhon Ratchasima School
อภิชาต อานามนารถ บุคลากรทางการศึกษา งานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงิน โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา
บทคัดย่อ ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ผลการวิจัยตรงวัตถุประสงค์และนำการวิจัยไปใช้ในการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาพบว่า 1 .จากการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่เป็นคณะครูเพศหญิงโรงเรียนอัสสัมชัญ จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 70.00 มีอายุอยู่ในช่วง 36 - 40 ปี จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 30.00 ระดับการศึกษาปริญญาตรี จำนวน 46 คน คิดเป็นร้อยละ 92.00 ประสบการณ์การทำงาน 5-10 ปี จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 38.00 2. จากการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ ผลการวิเคราะห์ตามสภาพปัจจุบันการใช้งานระบบงานสารบรรณ ทั้งหมด 50 คน พบว่า ด้านความรู้ความเข้าใจในระบบงานสารบรรณมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับที่มาก 3.86 ด้านการใช้งานในระบบงานสารบรรณมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับที่มาก 3.88 ด้านระบบเครือข่ายที่ใช้งานกับระบบงานสารบรรณมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับที่ปานกลาง 3.46 และด้านอุปกรณ์ที่ใช้กับงานระบบงานสารบรรณมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับที่มาก 3.88 3. งานสารบรรณ ฝ่ายธุรการโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมามีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
คำสำคัญ : การพัฒนางานสารบรรณ , งานธุรการ
* งานสารบรรณ สังกัด ฝ่ายธุรการ-การเงิน Email : Apichard1991@gmail.com
บทนำ งานธุรการและงานสารบรรณ เป็นหน่วยงานที่สำคัญงานหนึ่งของการบริหารจัดการงานทั่วไป ที่จะทำให้การปฏิบัติงานสำนักงานเกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ เป็นหน่วยงานที่ มีความสำคัญและส่งผลต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่น ๆ ให้สามารถดำเนินการต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล เป็นงานบริการและเกี่ยวข้องกับเอกสารที่ต้องใช้กฎหมายและระเบียบแบบแผนทางราชการประกอบการบริหารงานเป็นอย่างมาก หน่วยงานต้องพร้อมที่จะสามารถดำเนินงาน ตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ จึงกำหนดขอบข่ายงานครอบคลุมถึงการวางแผนการบริหารงานธุรการและงานสารบรรณ เพื่อองค์กรและบุคลากรของส่วนราชการได้ให้บริการข้อมูลข่าวสารของการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งเอกสาร การตอบโต้เอกสาร ซึ่งเป็นหลักฐานในทางราชการอันจะอำนวยประโยชน์ต่อการประสานงานได้อย่างมาก ซึ่ง กองเทพ เคลือบพนิชกุล (2526, 69)ได้กล่าวว่า งานสารบรรณเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติราชการทุกหน่วยงานที่ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบในด้านนี้จะต้องเรียนรู้และเข้าใจ จะต้องมาติดต่อการประสานงาน และดำเนินงานด้านเอกสารทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ทำให้มีการใช้เอกสารในการติดต่อประสานงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการจัดการบริหารงานเอกสารทั้งหลายทั้งปวงเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติธุรการและสารบรรณที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากเอกสารผิดพลาดล่าช้า สูญหาย ซํ้าซ้อน สับสน ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การบริการที่ไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้รับบริการได้ จะส่งผลให้การบริหารงานด้านเอกสารไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การทำงานไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ได้ปัจจุบันจากการดำเนินงานจากฝ่ายธุรการและ สารบรรณโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา พบว่า การบริหารงานสารบรรณประสบปัญหาความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย จึงจำเป็นต้องพัฒนางานสารบรรณฝ่ายธุรการและสารบรรณโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา ให้สามารถดำเนินงานต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามระเบียบงานสารบรรณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework)
วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา 2. เพื่อพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา
วิธีวิจัย ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรอิสระ - เพศ ได้แก่ ชาย และหญิง - ตำแหน่ง ได้แก่ ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา ตัวแปรตาม การพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา
1. ประชากร เป็นครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา จำนวน 210 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา จำนวน 20 คน จากการสุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอน จำนวน 10 คน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 10 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามซึ่งมีอยู่ 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคล ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามประเภทมาตราประมาณค่า สอบถามเกี่ยวกับความต้องการ พัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา กำหนดเป็น 5 ระดับ ดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง ความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ระดับ 3 หมายถึง ความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง ความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย ระดับ 1 หมายถึง ความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ
ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ผลการวิจัยตรงวัตถุประสงค์และนำการวิจัยไปใช้ในการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาโดยมีขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสารต่างที่เกี่ยวข้อง งานสารบรรณฝ่ายธุรการ-การเงิน 2. วิเคราะห์ทิศทางการพัฒนาโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาตามแผนยุทธศาสตร์ 3. การออกแบบเครื่องมือผู้วิจัยมีขั้นตอนในการดำเนินการออกแบบเครื่องมือ 4. นำแบบสอบถามไปใช้กับบุคลากรโรงเรียนที่เข้าใช้บริการ (กลุ่มตัวอย่าง) 5. นำแบบสอบถามที่ได้มาวิเคราะห์สถิติ 6. สรุปและประเมินผล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยทำการประมวลผลข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ค่าสิถิติ ดังนี้ 1. ค่าเฉลี่ย (Mean) 2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ตัวแปรอิสระ - เพศ ได้แก่ ชาย และหญิง - ตำแหน่ง ได้แก่ ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา ตัวแปรตาม การพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา 2. กลุ่มเป้าหมาย 1. ประชากร เป็นครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา จำนวน 210 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา จำนวน 20 คน จากการสุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอน จำนวน 10 คน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 10 คน
3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามซึ่งมีอยู่ 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคล ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามประเภทมาตราประมาณค่า สอบถามเกี่ยวกับความต้องการ พัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา กำหนดเป็น 5 ระดับ ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ
4. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ผลการวิจัยตรงวัตถุประสงค์และนำการวิจัยไปใช้ในการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาโดยมีขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสารต่างที่เกี่ยวข้อง งานสารบรรณฝ่ายธุรการ-การเงิน 2. วิเคราะห์ทิศทางการพัฒนาโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาตามแผนยุทธศาสตร์ 3. การออกแบบเครื่องมือผู้วิจัยมีขั้นตอนในการดำเนินการออกแบบเครื่องมือ 4. นำแบบสอบถามไปใช้กับบุคลากรโรงเรียนที่เข้าใช้บริการ (กลุ่มตัวอย่าง) 5. นำแบบสอบถามที่ได้มาวิเคราะห์สถิติ 6. สรุปและประเมินผล
ผลการวิจัย ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ผลการวิจัยตรงวัตถุประสงค์และนำการวิจัยไปใช้ในการพัฒนางานสารบรรณ ฝ่ายธุรการ-การเงินโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาพบว่า ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ
จากตาราง 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่เป็นคณะครูโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา ทั้งหมด 50 คน จำแนกตามเพศ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 70.00 และเป็นเพศชาย จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 30.00
ตารางที่ 2 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอายุ
จากตาราง 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ทั้งหมด 50 คน พบว่าส่วน จำแนกตามอายุ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุ 36 - 40 ปี จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 30.00 อายุ 31 - 35 ปี จำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 28.00 อายุมากกว่า 40 ปี จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 24.00 อายุ 25 - 30 ปี จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 16.00 และอายุต่ำกว่า 25 ปี จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.00
ตารางที่ 3 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับการศึกษา
|